ความเป็นมา
ศนจ.ปัตตานี ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 โดยตั้งสำนักงานชั่วคราวอยู่ที่โรงเรียนฝึกฝนเคลื่อนที่ 46 หน้าศาลากลางจังหวัด ปี 2525 กรมการศึกษานอกโรงเรียนอนุมัติโอนชั้นเรียนโรงเรียนฝึกฝนเคลื่อนที่ 46 พร้อมด้วยโรงเรียนผู้ใหญ่เคลื่อนที่ 6,7,8 และห้องสมุดประชาชน มาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปัตตานี
ในปี 2527 กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้จัดสรรงบประมาณให้จัดสร้างสำนักงานใหม่ ในที่ดินราชพัสดุ หมู่ที่ 1 ตำบลรูสะมิแล ในพื้นที่ 30 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สนามกีฬาจังหวัด อาคารที่จัดสร้างครั้งแรกได้แก่ ตึกอำนวยการ ห้องประชุม บ้านพักคนงาน อย่างละ 1 หลัง 4 ตุลาคม 2528 ได้ย้ายสำนักงานจากสำนักงานชั่วคราว มายังสำนักงานใหม่ ส่วนสำนักงานชั่วคราวยังคงใช้เป็นสถานที่สอนวิชาชีพ
ในปีงบประมาณ 2528 กรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้อนุมัติงบประมาณให้สร้างอาคารเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ อาคารพัสดุ โรงฝึกงาน บ้านพักครู โรงเก็บรถ อย่างละ 1 หลัง
กรกฎาคม-ธันวาคม 2530 ได้ทำการทดลองการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ จำนวน 8 อำเภอ 3 กิ่งอำเภอ
ปี 2531 ทำการทดลองการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการศึกษานอกโรงเรียนชนิดเต็มรูปแบบ จำนวน 2 อำเภอ คือ อำเภอโคกโพธิ์ และอำเภอยะหริ่ง ส่วนอำเภอและกิ่งอำเภออื่นๆ ได้มีการแต่งตั้งข้าราชการศูนย์ฯ เป็นผู้ประสานงานการศึกษานอกโรงเรียน ที่รับผิดชอบกิจกรรมงานการศึกษานอกโรงเรียน ในพื้นที่อำเภอ กิ่งอำเภอนั้น ในขณะเดียวกันก็รับผิดชอบงานประจำที่ศูนย์ด้วย
ในปี พ.ศ.2551 ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปัตตานีได้เปลี่ยนแปลงชื่อ ตามพระราชบัญญัติการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 โดยเปลี่ยนเป็น สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือเรียกโดยย่อว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Pattani Provincial Office of the Non-formal and informal Education
ปัจจุบัน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดปัตตานี ได้เปลี่ยนแปลงชื่อ "สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปัตตานี" หรือย่อว่า สกร.ปัตตานี ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ตั้งอยู่เลขที่ 191/61 ม.6 ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Pattani Provincial Office of Learning Encouragement
ประวัติและความเป็นมาของกรมส่งเสริมการเรียนรู้
ประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เริ่มต้นจาก “การศึกษาผู้ใหญ่” ในสมัยพลตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลขณะนั้น ได้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการศึกษา เนื่องจากมีผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ และประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ประกาศนโยบายในการพัฒนาบ้านเมืองไว้จำนวน 6 หลักการ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 โดยนโยบายที่สำคัญคือ “หลักการศึกษา” โดยระบุไว้ว่า “ให้จัดการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร” ซึ่งถือเป็น จุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดการจัดการศึกษาต่าง ๆ แก่ประชาชน รัฐบาลจึงได้วางนโยบายการจัดการศึกษาให้กับผู้ใหญ่และได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2480 และแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการศึกษาผู้ใหญ่ขึ้นมาหนึ่งคณะ ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2480 โดยมีหน้าที่พิจารณาวางแผนโครงการและเสนอความคิดเห็นในการดำเนินงานต่อรัฐบาล ต่อมาในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2483 สมัยพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดตั้งกองการศึกษาผู้ใหญ่ขึ้นอย่างเป็นทางการ อยู่ในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ ให้ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือได้รับการศึกษาและอ่านออกเขียนได้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาผู้ใหญ่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยพัฒนาการของการศึกษาผู้ใหญ่สู่การส่งเสริมการเรียนรู้ สามารถจำแนกออกเป็น 6 ยุค ได้แก่
ยุคที่ 1 ยุคการศึกษาผู้ใหญ่ (พ.ศ. 2483 - 2502)
ยุคที่ 2 ยุคพัฒนาสู่การศึกษานอกโรงเรียน (พ.ศ. 2503 – 2519)
ยุคที่ 3 ยุคการศึกษานอกโรงเรียน (พ.ศ. 2520 - 2532)
ยุคที่ 4 ยุคขยายการศึกษานอกโรงเรียนตามแนวคิดการศึกษาเพี่อปวงชน (พ.ศ. 2533 - 2543)
ยุคที่ 5 ยุคการศึกษาตลอดชีวิต (พ.ศ. 2544 - 2562)
ยุคที่ 6 ยุคการส่งเสริมการเรียนรู้ (พ.ศ. 2562 ถึงปัจจุบัน)
ยุคที่ 1 ยุคการศึกษาผู้ใหญ่ (พ.ศ. 2483 - 2502)
การจัดการศึกษาผู้ใหญ่ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2483 โดยจัดตั้งกองการศึกษาผู้ใหญ่ ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2483 มีจุดมุ่งหมายคือจัดการศึกษาเพื่อให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้และรู้หน้าที่พลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การศึกษาผู้ใหญ่เริ่มซบเซาลงอีกครั้งเนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ อีกทั้งรัฐบาลยังได้ยุติมาตรการต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมถึงมาตรการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 การศึกษาผู้ใหญ่ได้ถูกกระตุ้นอีกครั้งด้วยเหตุผลหลายประการ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนให้ประเทศไทยได้เป็นสมาชิกขององค์การ ทำให้รัฐบาลต้องปรับปรุงระดับการครองชีพและความเป็นอยู่ในทุกด้านของประชาชน มีการรณรงค์การรู้หนังสือในทุกจังหวัด และขยายประเภทงานการศึกษาผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย จัดอาชีวศึกษาผู้ใหญ่ประจำที่และเคลื่อนที่ จัดบริการห้องสมุดประชาชน หน่วยโสตทัศนศึกษาเพื่อประชาสัมพันธ์งานของรัฐ และจัดตั้งศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดอุบลราชธานี (ศ.อ.ศ.อ.) Thailand UNESCO Fundamental Education Center (TUFEC) ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 ทำหน้าที่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับมูลสารศึกษา ที่เรียกว่า “สารนิเทศก์” เพื่อออกไปปฏิบัติงานให้มูลสารศึกษาแก่ประชาชนในชนบทโดย “มูลสารศึกษา” นั้น หมายถึง การศึกษาที่ให้แก่ผู้ใหญ่และเด็กที่พ้นจากโรงเรียนแล้วให้รู้เรื่องทั่วไปที่จำเป็นเพื่อให้เข้าใจสภาพชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม รู้จักนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนนั้น ๆ ให้ดียิ่งขึ้นและในปีพ.ศ. 2502 ได้โอนสารนิเทศก์ส่วนใหญ่ จากกระทรวงศึกษาธิการ ไปสังกัดกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และเปลี่ยนชื่อจากสารนิเทศก์เป็นพัฒนากร
ยุคที่ 2 ยุคพัฒนาสู่การศึกษานอกโรงเรียน (พ.ศ. 2503 – 2519)
การพัฒนาการศึกษาผู้ใหญ่เริ่มเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยมีการพัฒนาโครงการเดิมให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นและจัดให้ตามความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนเริ่มนำแนวคิดเชิงปรัชญาและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนมาพัฒนาให้สอดคล้องกับงานการศึกษานอกโรงเรียนและได้ขยายชั้นประถมศึกษาออกเป็น 7 ปี ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 และมีการพัฒนากิจกรรมรวมทั้งรูปแบบการจัดที่หลากหลายหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2511 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ ได้เริ่มทดลองหลักสูตร “การศึกษาผู้ใหญ่แบบสมกิจ” (Work Oriented Functional Literacy) ตามข้อเสนอแนะของยูเนสโกหลักสูตรนี้มุ่งเน้นการสอนให้อ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็น และฝึกอาชีพควบคู่ไปด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากองค์การบริหารวิเทศกิจแห่งสหรัฐอเมริกา (UCOM) ให้การสนับสนุนด้านการฝึกอาชีพ ในปี พ.ศ. 2513 องค์การศึกษาโลก (World Education) ได้เสนอให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยในการปรับปรุงการศึกษาผู้ใหญ่แบบสมกิจให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร กองการศึกษาผู้ใหญ่เห็นว่าแทนที่จะมีเนื้อหาเพียงการวางแผนครอบครัว ควรจะถือโอกาสปรับปรุงหลักสูตรให้กว้างขึ้น ให้ครอบคลุมปัญหาและความต้องการต่าง ๆ ของผู้เรียนให้มากขึ้นอีก การศึกษาแบบเบ็ดเสร็จของไทย จึงไม่ได้เดินตามแนวของยูเนสโกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอาชีพ ในปี พ.ศ. 2515 ได้มีการโอนโรงเรียนฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่ (เดิมคือหน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่) จากกรมอาชีวศึกษามาสังกัดกองการศึกษาผู้ใหญ่ ซึ่งหน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่นี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2503 ต่อมาได้ขยายออกไปจนมีทั้งหมด 45 หน่วย นอกจากนั้นยังได้พัฒนาปรัชญาและวิธีการขึ้นใช้เป็นของตนเองด้วย ที่รู้จักกันทั่วไปว่าปรัชญา “คิดเป็น” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513
ยุคที่ 3 ยุคการศึกษานอกโรงเรียน (พ.ศ. 2520 - 2532)
ในช่วงเวลาปี พ.ศ. 2520 - 2532 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรี่องโครงสร้างในการบริหารและระบบการจัดการศึกษา ตลอดจนเนื้อหาสาระและกระบวนการทางการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่
1. การประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520
2. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 - 2524) ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 - 2529) ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 – 2534) ทุกฉบับล้วนแล้วแต่มุ่งส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตการศึกษานอกโรงเรียนและความเสมอภาคทางการศึกษา
3. ภาวะทางการเมืองใน ปี พ.ศ. 2516 ได้มีการเคลื่อนไหวของมวลชน เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้รัฐธรรมนูญเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศในช่วงนั้นจึงไม่ค่อยดีนัก จำเป็นที่จะต้องปฏิรูปในด้านการเมืองจึงเป็นเร่ืองที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
4. ภาวะทางเศรษฐกิจ และมีการเพิ่มประชากรในวัยศึกษาอย่างรวดเร็วทำให้การพัฒนาทางด้านการศึกษาไม่ได้สัดส่วนกับการเพิ่มอัตราประชากร นอกจากนั้น ยังมีความเหล่ือมล้ำของการเข้าถึงการศึกษาที่จัดในเมืองและชนบททั้งด้านคุณภาพและความเสมอภาคในโอกาสที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ
5. ความร่วมมือขององค์การระหว่างประเทศ ธนาคารโลกได้ให้ความร่วมมือ โดยการให้ยืมเงินมาพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียนจำนวนประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐและจากเงินยืมดังกล่าวนี้ประกอบกับงบประมาณจากรัฐบาลไทย และอีกส่วนหนึ่งจากกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการบริหารเพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจและการจัดการศึกษาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง กระทรวงศึกษาธิการจึงได้จัดตั้ง “กรมการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.)” ขึ้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2522 โดยโอนกองการศึกษาผู้ใหญ่และสำนักงานโครงการพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน สังกัดกรมสามัญศึกษา และศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษากับศูนย์บริภัณฑ์เพื่อการศึกษา (กรมวิชาการ) มาเป็น กรมการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) และยกฐานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ยุคที่ 4 ยุคขยายการศึกษานอกโรงเรียนตามแนวคิดการศึกษาเพื่อปวงชน (พ.ศ. 2533 - 2543)
โครงการการศึกษาเพื่อปวงชนเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 จากการประชุมระดับโลกประเทศสมาชิกขององค์การยูเนสโก เรื่อง “การศึกษาเพื่อปวงชน (World Conference on Education for All)” ที่ประเทศไทยโดยทุกประเทศมีความเห็นพร้อมกันว่า การศึกษาเป็นสิทธิอันพึงมีของประชากรโลก เพราะการศึกษาจะพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนและสังคมได้อย่างเข้มแข็งดังนั้นประเทศสมาชิกจะต้องมีนโยบายและเร่งรัดจัดการศึกษาให้กับประชาชนของตนให้ทั่วถึงทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกการปฏิบัติ และถือว่าเป็นพันธกิจที่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ต้องดำเนินการให้บรรลุสำเร็จภายใน 10 ปี นอกจากนี้กรมการศึกษานอกโรงเรียน ยังได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นเพื่อให้การสนับสนุนการขยายงานการศึกษานอกโรงเรียนอีกมากมาย นับได้ว่า เป็นยุคที่กรมการศึกษานอกโรงเรียนสามารถขยายโอกาสทางการศึกษานอกโรงเรียนให้กับผู้ด้อยโอกาสได้อย่างกว้างขวางมากที่สุดยุคหนึ่ง และสามารถเพิ่มจำนวนผู้รับบริการการศึกษานอกโรงเรียนได้มากจนเรียกได้ว่าเป็น การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปี พ.ศ. 2540 ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยมาตรา 43 กำหนดว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” และในรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้กำหนดให้มีการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาและปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยต่อมาได้มีการจัดทำ “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542” จุดเด่นของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ คือการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต โดยได้นิยามคำศัพท์ไว้ว่า “การศึกษาตลอดชีวิต” หมายความว่า “การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต” สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้และให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตามรวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือจากประสบการณ์การทำงานนับได้ว่าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่ส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตอย่างแท้จริง
ยุคที่ 5 ยุคการศึกษาตลอดชีวิต (พ.ศ. 2544 – 2562)
ภายหลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2542) กระทรวงศึกษาธิการได้เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยเริ่มจากการปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการและผลพวงจากการปฏิรูปครั้งนี้ ก่อให้เกิดพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการ ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ได้มีการยุบกรมการศึกษานอกโรงเรียน และจัดตั้งเป็นสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนแทน อีกทั้งยังมีการถ่ายโอนที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านตามแผนปฏิบัติการการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2550 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551 จึงปรับบทบาท ภารกิจจากสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน เป็นของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และภารกิจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะมุ่งเน้นในการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการ การจัดทำหลักสูตรการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา การส่งเสริมการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือ ในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย จัดเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต จัดตั้งกศน.ตำบล/กศน.แขวง ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยแหล่งเรียนรู้ราคาถูก กศน.ตำบล/แขวง พ.ศ. 2553 เพื่อขยายการจัดกิจกรรมการรู้ให้กับประชาชนครอบคลุมทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน
ยุคที่ 6 ยุคการส่งเสริมการเรียนรู้ (พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป)
รัฐบาลได้จัดตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาตลอดชีวิต พ.ศ. …. และมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ในการประชุมครั้งที่ 15/2559 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 และได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการร่วมสามฝ่ายในการประชุมครั้งที่ 13/2559 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ต่อมาสำนักงาน กศน. ได้เปลี่ยนชื่อเป็นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ. .... และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ต่อมาคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎหมายและเปลี่ยนชื่อเป็นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. .... ผ่านกระบวนการทางกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาและมีมติเห็นชอบในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ส่งผลให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยยกฐานะเป็น “กรมส่งเสริมการเรียนรู้” และเป็นนิติบุคคล ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ มีความคล่องตัวในการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ตามาตรา 6 ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนเสียชีวิต ผ่านการมีส่วนร่วมของ 3 เสาหลัก ได้แก่ รัฐ เอกชน และท้องถิ่น
จากจุดเริ่มต้นของการศึกษาผู้ใหญ่สู่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ในปัจจุบัน 83 ปี ที่จัดการศึกษาให้แก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละยุคนั้นมีจุดมุ่งหมายและจุดเน้นการดำเนินงานที่ต่างกัน อันเนื่องมาจากบริบท ทางการเมือง นโยบายของรัฐบาล ปัญหาระหว่างประเทศ ตลอดจนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้การจัดการศึกษาเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การดำเนินงานที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากสังคมรวมถึงหน่วยงานในต่างประเทศ มาอย่างยาวนานว่า “กรมส่งเสริมการเรียนรู้” คือหน่วยงานหลักและเป็นหน่วยงานที่สำคัญในการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (2566, 19, มีนาคม) . ราชกิจจานุเบกษา . เล่ม 140 ตอน ที่ 20 ก. หน้า 60 – 72
สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย . (2564) . เอกสารคำชี้แจงประกอบการเรียนรู้การขอจัดตั้ส่วนราชการกรมส่งเสริมการเรียนรู้
ศรีเชาวน์ วิหคโต อดีตของการศึกษาผู้ใหญ่ และการศึกษานอกโรงเรียนในประเทศไทย สืบค้นจาก